เมืองพาลุกากรภูมิ เป็นเมืองขึ้นของเมืองมุกดาหาร ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๐๙ คือบริเวณอำเภอหว้านใหญ่ ในปัจจุบันคำว่า พาลุกา มาจากคำว่า พาลกะ ในภาษาบาลี แปลว่า ทราย
ในปี พ.ศ.๒๔๐๘ เจ้าเมืองมุกดาหาร พยายามที่จะขยายอาณาเขตเมืองมุกดาหารที่ครอบคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง (รวมแขวงสุวรรณเขตของลาว) จนจดแดนญวน เพื่อทดแทนนครเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเมืองร้าง เจ้าเมืองมุกดาหารซึ่งขอพระราชทานตั้งเมืองใหม่อีกเมืองหนึ่ง โดยแยกอาณาเขตเมืองมุกดาหาร ตั้งแต่ห้วยบังทราย (บางทราย) ขึ้นไปทางเหนือจนถึงลำน้ำก่ำ จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเมืองนี้ว่า เมืองพาลุกากรภูมิ แต่ได้ตั้งเมืองเหนือบ้านบางทรายขึ้นไปคือ บริเวณบ้านพาลุกา อำเภอหว้านใหญ่ ในปัจจุบัน และได้โปรดเกล้า ฯ ให้ ท้าวทัต บุตรราชวงษ์ (ทัง) จากเมืองมุกดาหารเป็น พระอมรฤทธิราช เจ้าเมือง ขึ้นกับเมืองมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๙
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ บาทหลวงชาวฝรั่งเศสจากกรุงเทพ ฯ ซึ่งถือว่าเป็นสังฆราชของคริสตศาสนา นิกายโรมันคาทอลิค ได้สั่งให้บาทหลวงสองคน ทำการเผยแพร่ศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้จัดตั้งวัดในศาสนาคริสต์ขึ้นเป็นวัดแรก ที่บ้านบุ่งกระแทว เมืองอุบล ฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๔ และต่อมาได้ขยายวัดในศาสนาคริสต์ตามหัวเมืองในลำน้ำโขง ที่เมืองเขมราฐ มุกดาหาร นครพนม และสกลนคร บาทหลวงซาเวียร์ เกโด้ ได้ตั้งวัดศาสนาคริสต์ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่บ้านสองคอน เขตเมืองพาลุกากรภูมิ ซึ่งขึ้นกับเมืองมุกดาหาร บรรดาพวกทาสที่ถูกปลดปล่อยจากเมืองมุกดาหาร ซึ่งส่วนมากเป็นพวกข่า ผู้เทิง และพวกที่สังคมกล่าวหาว่าเป็น ฉมบ (ผีปอบ ผีกระสือ) ได้ไปพึ่งพาอาศัยและเข้ารีตอยู่กับบาทหลวงเป็นจำนวนมาก
ทางเจ้าเมืองมุกดาหารได้มีใบบอกไปทางกรุงเทพ ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๙ มีความว่าเจ้าเมืองท้าวเพี้ยหัวเมืองลาวตะวันออก ประพฤติการณ์ไม่เป็นยุติธรรมพากันไปกดขี่คุมเหง จับข่ามาเป็นทาสใช้สอยอยู่ตามบ้านเรือน เป็นที่ติเตียนแก่คนต่างประเทศ และได้มีท้องตาประกาศบรรดาเจ้าเมืองท้าวเพี้ย หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ห้ามไม่ให้ไปกดขี่คุมเหง จับไพร่ข่ามาซื้อขายใช้สอยการงานที่บ้านเรือน แต่ทาสเดิมที่ได้ซื้อหามาแต่เดิม ก็ให้คงอยู่ตามพระราชกำหนดกฎหมาย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๙ ทาสเดิมที่ได้ออกเงินไถ่ไว้ใช้สอยมาแต่ก่อน พากันกำเริบหลบหนีไปจากเจ้าเบี้ยนายเงิน ไปอยู่กับบาทหลวงฝรั่งเศสเป็นอันมาก
ทางกรุงเทพ ฯ ได้มีท้องตราราชสีห์ มาถึงเมืองมุกดาหาร มีความว่าได้รับใบบอกแล้ว และได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล ฯ มีพระบรมราชโองการ ฯ สั่งว่า ซึ่งบาทหลวงยกพระราชกำหนดกฎหมายเป็นหลักฐานในถ้อยคำ ไม่ดื้อดึงเป็นอย่างอื่นแล้วนั้น ก็เป็นการดี ควรต้องผ่อนผันพิพากษาตัดสินตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมในกรุงเทพ ฯ จึงจะเป็นการเรียบร้อยโดยยุติธรรม ตัวทาสนั้นคงให้เป็นไพร่พลเมืองใช้ในราชการต่อไป ถ้าเป็นทาสขายตัวเอง ฤาบิดามารดาขาย และเป็นเชลยตีทัพมาเกิด ลูกทาสลูกเชลยในเรือนเบี้ย ต้องไถ่ตัวให้นายเงินตามเงินที่ซื้อขาย และเกษียณอายุลูกทาส ลูกเชลย ตามข้อพระราชบัญญัติ และพระราชกำหนดกฎหมาย
ในปี พ.ศ.๒๔๓๓ พระอมรฤทธิธาดา (ทัด) เจ้าเมือง ป่วยเป็นโรคชรา ถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้า ฯ ให้อุปฮาด (กุ) เป็นพระอมรฤทธิธาดา เจ้าเมืองพาลุกากรภูมิ แทน และได้ถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐
พ.ศ.๒๔๔๒ ยุบเมืองพาลุกา ลงเป็นหมู่บ้านขึ้นกับเมืองมุกดาหาร กรมการเมือง ท้าวเพี้ยเก่า ๆ ได้พากันอพยพข้ามโขงไปอยู่เมืองคันธบุรี แขวงเมืองสุวรรณเขตของลาว บางพวกก็ขอรับราชการกับฝรั่งเศส บรรดาลูกหลานได้อพยพตามไปอยู่ฝั่งลาวเป็นจำนวนมาก จนที่ตั้งเมืองพาลุกกรภูมิเดิมกลายเป็นเมืองร้าง
(ข้อมูลจาก....http://www.mukdahanguide.com/name=knowledge&file=readknowledge&id=26)